เทคนิคการสอนภาษา
การฟังและการการพูดเป็นพื้นฐานของการอ่านและการเขียนครูสามารถประเมินผลการสอนของตนเองจากเด็กได้ง่ายๆ
แนวคิดพื้นฐาน
1.ต้องรู้ธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก
2.ประสบการณืทางภาษาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
3.เชื่อว่าเด็กสามารถเรียนรู้ได้
4.เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดถ้าสอนเเบ whole Language
5.เด็กจะเรียนรู้ได้ดีถ้าได้ตัดสินใจด้วยตนเอง
6.ให้เด็กรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
7.ไม่ให้เด็กรู้สึว่าถูกเเข็งขัน
8.ครูต้องสอนทักษะไปพร้อมๆกัน
9.ทำให้การเรียนภาษาของเด็กเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมการพูด
- อธิบายหรือเล่าถึงภาพที่เห็น
- ทำท่าประกอบการพูด
- เล่านิทาน
- ลำดับเรื่องตามนิทาน
- เรียกชื่อตามิทาน
- เรียกชื่อและอธิบายสิ่งของ
- จำและอธิบายลักษณะสิ่งของ
- อธิบายขนาดและสีสิ่งของ
ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการพูด
- อธิบายหรือเล่าถึงภาพที่เห็น
-ทำท่าทางประกอบการพูด
-เล่านิทาน
ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการฟัง
- ฟังประกอบหุ่น
-ฟังและเเยกเสียง
-ฟังเสียงคำคล้องจอง
นิทานเมฆน้อยลอยละลิ่ว
นิทานเมฆน้อยลอยละลิ่ว เทคนิคการเชิดหุ่นและมีเทคนิคอีกมากที่กลุ่มของพวกเรามาใช้ในการเล่านิทานกันค่ะ เช่นมีการใช้แสงและชักดึงอุปกรณ์ในการเล่า มีเพลงประกอบเพื่อสร้างความสนุกสนานและดึงดูดความสนใจตลอดเวลา มีการถามความคิดเห็นเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดและพัฒนาการทางภาษาสำหรับเด็กด้วยค่ะ
การเล่านิทานครั้งนี้ก็มีปัญหาเรื่องของพื้นที่แสดงคับแคบ จึงส่งผลถึงการจัดทำฉากการแสดงและการแสดงยังขาดความแม่นยำอยู่เหมือนกันค่ะ แต่พวกเราก็แก้ไขปัญหาผ่านไปได้
พวกเราจะนำที่อาจารย์ติมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นค่ะ พวกเราก็ภาคภุมิใจในผลงานการแสดงนิทานครั้งนี้ค่ะ
สรุปวิชาการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่13กุมภาพันธ์ 2552วันนี้เป็นสุดท้ายที่มีการเรียนการสอนวิชานี้ อาจารย์ได้สรุปดังนี้
แนวคิดพื้นฐานของการสอนภาษา
- ครูจะต้องทราบว่าเด็กของเราเรียนรู้
- เชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้
- เด็กจะเรียนได้ดีที่สุด ถ้าเราสอนแบบ Whoe Language คือ
. สอนอย่างเป็นธรรมชาติ
. สอนอย่างมีความหมายต่อเด็ก เช่น เริ่มจากคำศัพท์ที่เด็กรู้จัก คุ้นเคย
. สอนให้เด็กสามารถนำ
- เด็กจะเรียนรู้ได้ดีทีสุดมาจากการตัดสินใจ นั่นหมายถึงพร้อมที่จะรับรู้ในสิ่งที่เด็กอยากรู้ ครูจะต้องทำอย่างไรให้เด็กอยากจะเรียนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- ไม่ให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกแข่งขัน
- ครูต้องสอนทักษะไปพร้อมๆกันและเกี่ยวข้องกัน เพราะดีที่สุกคือการสอนบนพื้นฐานของธรรมชาติ
- ครูจะต้องทำให้เรียนภาษาของเด็กเป็นสิ่งที่น่าสนใจสนุกสนาน เช่น สื่อ เทคนิคการสอน วิธีการสอน เป็นต้น
ควรสอนภาษาเด็กอย่างไร
- เริ่ม
- การประเมินโดยการสังเกต ควรที่จะมีแบบสังเกต
. สามารถจำเนื้อเรื่อง
. สามารถเข้าใจความหมาย บอกซ้ำ เล่าได้
- เสนอความคิดต่อผู้ปกครอง
- ทำอย่างไรพ่อแม่จึงจะเข้าใจวิธีที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกได้
- ส่งเสริมให้เด้กเรียนอย่างกระตือรือร้น- สร้างความรู้สึกประสบความสำเร็จ ช่วยเหลือ ให้กำลังใจ
- อ่านให้เด็กฟังจากหลายๆแหล่งเช่น นิทาน บทความ รายการอาหาร- จัดประสบการณ์อ่าน และส่งเสริลงมือกระทำ
- ส่งเสริมให้เด็กกล้าลองผิด ถูก- พัฒนาทางด้านจิตพิสัย และให้เด็กรู้สึกรักในภาษา
ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการพูด
- อธิบายถึงภาพที่เห็น
- ทำท่าประกอบการพูด
- เล่านิทาน
- ลำดับเรื่องตามนิทาน
- เรียกชื่อตามนิทาน คือ ตัวละคร
- เรียกชื่อและอธิบายสิ่งของ- จำและอธิบายสิ่งของ
- อธิบายขนาดและสี
ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน และเขียน
- พ่อแม่ให้เด็กสังเกต- ชักชวนลูกให้อ่านเครื่องหมายจราจร
- ชักชวนให้ลุกอ่านหนังสือพิมพ์
- ชักชวนให้เขียนคำอธิบายภาพของครอบครัวและบันทึกคำพูดของลูก
- เขียนส่วนผสมอานหารและลองปรุง
- ให้เด็กรู้จักการเขียน เช่น เขียนโน้ต
- ให้ลูกมีส่วนร่วมในการอ่านจดหมาย
- จดรายการส่งของ
การฟัง
- ฟังประกอบหุ่น
- ฟังและแยกเสยง
- ฟังเยงคำคล้องจอง
- ฟังอย่างสร้างสรรค์และวิจารย์
- ฟังแล้วทำตามคำสั่ง
ขั้นตอนการอ่านและการเขียน
ขั้นที่1
- คาดเดาภาษาหนังสือ
- แก้ไขความผิดพลาดของความหมายด้วยตนเอง
- พยายามใช้ประสบกาณณ์จากการพุดกลับมาเป็นภาษาที่ใช้อ่าน
ขั้นที่2
- แก้ไขข้อผิดพลาดในประโยคด้วยตนเอง
- ตระหนักว่าตัวหนังสือมีความคงที่
- สามารถชี้บอกคำที่เหมือนกันกันซึ่งอยู่ในหน้าเดียวกัน
- สามารถมองตามตัวอัการบนแผ่นกระดาขนาดใหญ่ได้
ขั้นที่3
- จำคำที่คุ้นเคย
- คาดคะเนความหมายจากบริบท
-ใช้วิการอ่านไปในทิศทางเดียวกันจนเป็นนิสัย
-สามารระบุบอกชื่อตัวอักษรได้เกือบหมด
ขั้นที่4
- เข้าใจเกี่ยวกับ "การเริ่มต้น" และการลงท้าย เมื่อนำมาใช้ในการเดา
-ใช้เสียงช่วงต้นของคำในการเดาคำใหม่ เช่น ก กก ก กระดาษ ก กระดาน
-ใช้คำที่รู้มาแต่งประโยช์
ขั้นที่5
-ใช้เสียนงเริ่มต้นและเสียงควบกล้ำ-สามารรู้ได้ว่าคำประบด้วยตัวอะไรบ้าง
การเขียน
ขั้นที่ 1
-ขีดเขี่ย
ขั้นที่2
- เส้นเริ่มยาว
ขั้นที่3
- เขียนเป็นรูปร่างแต่ไม่เป็นตัวอักษร
ขั้นที่4
- เขียนตัวอักษรและสัญลักษณ์
ขั้นที่5
- เขียนตัวสะกด
ดิฉันจะนำความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาวิชานี้ไปประยุกต์ใช้ในการสอนในอนาคตให้ได้อย่างดีค่ะ
สื่อการจัดประสบการณ์ทางด้านภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
งานศิลปะของเด็กปฐมวัย
กิจกรรมสร้างสรรค์ของอนุบาล2โรงเรียนอนุบาลสามเสน
วันพุธที่14มกราคม2552พวกเราได้ไปดูงานที่โรงเรียนอนุบาลสามเสน ดิฉันและเพื่อนๆในกลุ่มได้มีโอกาสไปดูการเรียนการสอนของอนุบาล2ค่ะ เราได้ดูการจัด กิจกรรมสร้างสรรค์งานศิลปะของเด็กๆมีการจัดโต๊ะ4โต๊ะมีงานปั้น ง่านประดิษฐ์ งานวาดภาพด้วยสีเทียนและสีน้ำ เด็กแต่ละคนสามารถเลือกทำได้ตามอิสระโดยกิจกรรมนี้ต่อเนื่องจากกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ เด็กทุกคนมีความสุขมากในการทำกิจกรรม คุณครูจะคอยดูอยู่ห่างๆ เด็กบางคนก็จะทำครบทุกโต๊ะ พอเด็กเขาเห็นพวกเราจะคอยมาชักถามว่าคำถามมากมายและจะเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังค่ะ มีเด็กคนหนึ่งเขาให้ดิฉันปั้นหมาป่าให้เขาหน่อย พอได้ปั้นแล้วมองเด็กๆคนอื่นเขาปั้นเก่งกว่าตัวดิฉัน รู้สึกอายเด็กมากๆเมื่อมีเด็กมาบอกว่าสิ่งที่เราปั้นนั้นคือควาย อยากมีโอกาสไปดูกิจกรรมต่างๆอีกจังเลย แค่เวลานิดเดียวก็มีความสุขแล้วค่ะ
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552
ข้อควรปฏิบัติในการสอนภาษา
เมื่อวันพุธ ที่21 มกราคม2552อาจารย์ให้แบ่งกลุ่มออกไปนำเสนอ กลุ่มของพวกเราออกไปแสดงละครค่ะ มีครูไปสอนเด็กๆและมีตำรวจ โดยดิฉันรับบทเป็นนักเรียน ครูจะถามเด็กว่าอยากเป็นอะไรกันค่ะ แล้วก็ดึงเข้าสู่อาชีพชาวนา โดยครูจะร้องเพลงให้พวกนักเรียนฟังและอธบายถึงชาวนาให้ฟัง จากนั้นก็เลิกเรียนค่ะ
ข้อควรปฏิบัติในการสอนภาษา
1.ควรสอนในสภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ใช่การจับเด็กมานั่งเรียนอย่างเดียว
2.ควรสอนโดยการไม่มีการแบ่งแยกกลุ่มเด็กเก่งเด็กอ่อน การแบ่งแยกกลุ่มเด็กเก่งเด็กอ่อน จะเป็นการสร้างปมด้อยหรือสร้างความไม่เชื่อมั่นในตนเองให้แก่เด็ก เด็กทุกคนควรมีโอกาสในการเรียนที่เท่ากัน
3.การที่เด็กเกิดมาพร้อมกับความสนใจอยากรู้อยู่แล้ว จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาสามารถจำคำต่างๆ โดยครูอาจใช้ความคิดเกี่ยวข้องกับภาษาของเด็กมาสอน
4.ครูควรหาโอกาสให้เด็กได้ใช้ทักษะที่ได้เรียนมาในชีวิตประจำวัน
5.ครูต้องจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนให้พร้อม
ข้อควรปฏิบัติในการสอนภาษา
1.ควรสอนในสภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ใช่การจับเด็กมานั่งเรียนอย่างเดียว
2.ควรสอนโดยการไม่มีการแบ่งแยกกลุ่มเด็กเก่งเด็กอ่อน การแบ่งแยกกลุ่มเด็กเก่งเด็กอ่อน จะเป็นการสร้างปมด้อยหรือสร้างความไม่เชื่อมั่นในตนเองให้แก่เด็ก เด็กทุกคนควรมีโอกาสในการเรียนที่เท่ากัน
3.การที่เด็กเกิดมาพร้อมกับความสนใจอยากรู้อยู่แล้ว จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาสามารถจำคำต่างๆ โดยครูอาจใช้ความคิดเกี่ยวข้องกับภาษาของเด็กมาสอน
4.ครูควรหาโอกาสให้เด็กได้ใช้ทักษะที่ได้เรียนมาในชีวิตประจำวัน
5.ครูต้องจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนให้พร้อม
วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552
การจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียน
วันพุธ ที่7 มกราคม 2552 วันนี้อาจารย์ไม่อยู่แต่ให้พวกเราเรียนจากpower point ต่อจากสัปดาห์ที่แล้วกันค่ะ
การจัดสภาพแวดล้อมควรจัดห้องเรียนให้สอดล้องกับเนื้อหาที่เราจะสอน และในการจัดห้องเรียนครจะมีการส่งเสริมภาษาให้กับเด็กโดยมีการจัดมุมต่างๆเช่น
1.มุมบ้าน มุมนี้เด็กก็จะเข้ามาเล่นใบมุมนี้เเล้วมีการพูดคุยกันเหมือนการอยู่บ้าน ทำให้เด็กได้มีโอกาสในการพัฒนาภาษาของเด็กได้
2.มุมหมอ มุมนี้ก็จะได้มีการเล่นบทบาทสมมติเป็นคนไข้ กับคุณหมอ ก็จะเป็นการฝึกภาษาพูดและภาษาเขียนไปในตัวเพราะการเล่นบทบาทเป็นหมอหรรือพยาบาลก็จะมีการสอบถามผูป่วย มีการนัดหมายผู้ป่วย เป็นต้น
3.มุมตลาด เด็กจะได้ฝึกการสนทนาสือสารดต้อตอบระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
4.มุมจราจร เด็กจะได้เรียนรู้สัญลักษณ์จราจรกระบวนการเรียนรู้แบบธรรมชาติตามวัยวุฒิของเด็กครูจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเขาสามารถทำทำงานได้ พฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นเองซึ่งครูจะต้องสังเกตุ และครูจต้องระลึกว่าธรรมชาติขิงเด็กจะเกิดขึ้นพร้อมกับความสารถในการเรียนรู้มีสมองไว้คิด และมีประสาทสัมผัทั้ง 5 เพื่อการรับรู้ ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้เเละซึมซับสิ่งต่างๆได้เองตามธรรมชาติบทบาทของครู ครูควรมีวิธีการในการเชื่อมโยงประสบการณืที่เด็กมีอยู่เดิมให้สัมพันธ์กับกิจกรรมที่จัดขึ้น เช่น การเล่าเรื่อง การเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุย และครูควรหาหนังสือมาจัดไว้ที่ห้องเรียนเพื่อให้เด็กได้หยิบอ่านได้ตามความสะดวกบรรยากาศในการสอนเเนวใหม่เด็กจะเเสดงให้ครูเห็นว่า เขาต้องการเขียนสอ่งที่มีความหมาย สิ่งที่เขาอยากให้ผู้อื่นเข้าใจการเรียน ระยะเเรกจึงเป็นการที่เด็กสร้างความคิด ซึ่งเกิดจากประสบการณ์เดิมเด็กจะเขียนเส้นขยุกขยิกคล้ายตัวหนังสือ แต่ยังไม่ถูกตต้อง ครูครวส่งเสริมไม่ควรตำหนิเด็ก และให้เเก้ไขทันทีควรให้เด็กได้ฝึกสังเกตุสิ่งที่เด็กพบเห็นบ่อยๆ การสังเกตุจะช่วยให้เด็กเกิกการพัฒนาและปรับปรุงให้ถูกต้องดดยไม่เกิดความรู้สึกผิดการประเมินผลครูพิจารณาจากการสังเกตุ การบันทึก การเก็บร่องรอยทางภาษาของเด็ก ขณะทำกิจกรรมต่างๆ และสะสมชิ้นงานเป็นการประเมินการเรียนรู้จากสภาพจริง และจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กมากว่าการใช้เเบบทดสอบทางภาษา
ซึ่งวันนี้เพื่อนจะเสียงดังเป็นพิเศษ พอทุกคนจดบันทึกกันเสร็จก็พากันแยกกันกับบ้าน(ดีใจจังวันนี้เลิกเรียนเร็ว)
การจัดสภาพแวดล้อมควรจัดห้องเรียนให้สอดล้องกับเนื้อหาที่เราจะสอน และในการจัดห้องเรียนครจะมีการส่งเสริมภาษาให้กับเด็กโดยมีการจัดมุมต่างๆเช่น
1.มุมบ้าน มุมนี้เด็กก็จะเข้ามาเล่นใบมุมนี้เเล้วมีการพูดคุยกันเหมือนการอยู่บ้าน ทำให้เด็กได้มีโอกาสในการพัฒนาภาษาของเด็กได้
2.มุมหมอ มุมนี้ก็จะได้มีการเล่นบทบาทสมมติเป็นคนไข้ กับคุณหมอ ก็จะเป็นการฝึกภาษาพูดและภาษาเขียนไปในตัวเพราะการเล่นบทบาทเป็นหมอหรรือพยาบาลก็จะมีการสอบถามผูป่วย มีการนัดหมายผู้ป่วย เป็นต้น
3.มุมตลาด เด็กจะได้ฝึกการสนทนาสือสารดต้อตอบระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
4.มุมจราจร เด็กจะได้เรียนรู้สัญลักษณ์จราจรกระบวนการเรียนรู้แบบธรรมชาติตามวัยวุฒิของเด็กครูจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเขาสามารถทำทำงานได้ พฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นเองซึ่งครูจะต้องสังเกตุ และครูจต้องระลึกว่าธรรมชาติขิงเด็กจะเกิดขึ้นพร้อมกับความสารถในการเรียนรู้มีสมองไว้คิด และมีประสาทสัมผัทั้ง 5 เพื่อการรับรู้ ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้เเละซึมซับสิ่งต่างๆได้เองตามธรรมชาติบทบาทของครู ครูควรมีวิธีการในการเชื่อมโยงประสบการณืที่เด็กมีอยู่เดิมให้สัมพันธ์กับกิจกรรมที่จัดขึ้น เช่น การเล่าเรื่อง การเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุย และครูควรหาหนังสือมาจัดไว้ที่ห้องเรียนเพื่อให้เด็กได้หยิบอ่านได้ตามความสะดวกบรรยากาศในการสอนเเนวใหม่เด็กจะเเสดงให้ครูเห็นว่า เขาต้องการเขียนสอ่งที่มีความหมาย สิ่งที่เขาอยากให้ผู้อื่นเข้าใจการเรียน ระยะเเรกจึงเป็นการที่เด็กสร้างความคิด ซึ่งเกิดจากประสบการณ์เดิมเด็กจะเขียนเส้นขยุกขยิกคล้ายตัวหนังสือ แต่ยังไม่ถูกตต้อง ครูครวส่งเสริมไม่ควรตำหนิเด็ก และให้เเก้ไขทันทีควรให้เด็กได้ฝึกสังเกตุสิ่งที่เด็กพบเห็นบ่อยๆ การสังเกตุจะช่วยให้เด็กเกิกการพัฒนาและปรับปรุงให้ถูกต้องดดยไม่เกิดความรู้สึกผิดการประเมินผลครูพิจารณาจากการสังเกตุ การบันทึก การเก็บร่องรอยทางภาษาของเด็ก ขณะทำกิจกรรมต่างๆ และสะสมชิ้นงานเป็นการประเมินการเรียนรู้จากสภาพจริง และจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กมากว่าการใช้เเบบทดสอบทางภาษา
ซึ่งวันนี้เพื่อนจะเสียงดังเป็นพิเศษ พอทุกคนจดบันทึกกันเสร็จก็พากันแยกกันกับบ้าน(ดีใจจังวันนี้เลิกเรียนเร็ว)
ภาษาแบบองค์รวม
สวัสดีค่ะเรามาเรียนต่อจากสัปดาห์ที่แล้วกันนะค่ะ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้มีการเรียนการสอนกัน ก็มาเรียนกันวันศุกร์ที่19ธันวาคม2551มีเพิ่มนิดหน่อย อาจารย์สอนไปก็ทำบล็อกไป
ลักษณะสำคัญและกิจกรรมทางภาษาแบบองค์รวม
อ่าน – เขียน
- เน้นความเข้าใจเนื้อเรื่องมากกว่าการท่องจำตัวหนังสือผ่านการฟังนิทาน เรื่องราวสนทนาโต้ตอบ คิดวิเคราะห์ร่วมกับครูหรือผู้ใหญ่
- การคาดคะเนโดยการเดาในขณะอ่าน เขียน และสะกด เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในการเรียนรู้ภาษาธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องอ่านหรือสะกดถูกต้องทั้งหมด
- มีหนังสือ วัสดุสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ให้เด็กเป็นผู้เลือก เพื่อได้รับประสบการณ์ทางภาษาอย่างหลากหลาย
- ครูแนะนำและสอนอ่านในกลุ่มที่ไม่ใหญ่มากโดยใช้หนังสือเล่มใหญ่ที่เห็นชัดเจนทั่วกัน
-ให้เด็กแบ่งกลุ่มเล็กๆผลัดกันอ่านด้วยการออกเสียงดัง ๆ
- ครูสอนการอ่านอย่างมีความหมายด้วยความสนุกสนานในกลุ่มย่อย สอนให้รู้จักวิธีการใช้หนังสือการเปิดหนังสืออย่างถูกต้อง
- เปิดโอกาสให้เด็กพูดคุย ซักถามจากประสบการณ์เดิมซึ่งครูสามารถประเมินความสามารถการอ่านของเด็กแต่ละคนไปด้วยพร้อมกัน
-ให้เด็กแต่ละคนมีโอกาสเลือกอ่านหนังสือที่ชอบและยืมไปนั่งอ่านเงียบ ๆ
-ให้เด็กได้เขียน ขีดเขี่ย วาดภาพ ถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์ ความประทับใจ อย่างอิสระ
- ครูตรวจสอบสภาพการเขียนของเด็กแต่ละคนโดยการให้เด็กเล่าสิ่งที่เขียนหรือวาดให้ครูฟัง โดยครูอาจแนะนำการเขียนที่ถูกต้อง เพื่อให้เด็กพัฒนาการเขียนได้ด้วยตัวเด็กเองทุกวันโดยไม่มุ่งแก้คำผิดหรือทำลายความอยากเขียนของเด็ก
ความเชื่อมโยงภาษาพูดกับภาษาเขียน
ภาษาพูดกับภาษาเขียนมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันโดย ความรู้เกี่ยวกับคำจะเพิ่มพูนมากขึ้นเมื่อเราพูด เล่า สนทนาโต้ตอบกัน
เราอ่านจากหนังสือประเภทต่าง ๆ อ่านจากป้ายในทุกหนทุกแห่งที่สนใจ จะทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวต่างๆไปพร้อมๆกันและช่วยให้เด็กมี ความรู้เพิ่มพูนขึ้น
ทักษะการสนทนาจะพัฒนามากขึ้น ด้วยการพูดคุยกับพ่อแม่ เพื่อน ครู ในสถานการณ์หรือเรื่องราวที่มีความสัมพันธ์กับตัวเด็ก เมื่อเด็กได้รับโอกาสในการแสดงออกโดยการพูด เด็กจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จากสิ่งที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง ซึ่งเด็กนำไปใช้เพื่อการสื่อสาร หรือแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาในการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรู้ความหมายในภาษาเขียน
ขั้นของพัฒนาการในการอ่าน ขั้นแรก คำแรกที่เด็กอ่านเป็นคำที่มีความหมายต่อชีวิตเด็ก เช่น ชื่อ ( คน,อาหาร,สิ่งที่อยู่รอบตัว )พัฒนาการในขั้นนี้ กู๊ดแมนเรียกว่าเป็น “รากเหง้าของการอ่าน เขียน”
ขั้นที่สอง ผู้เรียนจะผูกพันกับตัวอักษรเพิ่มขึ้น เรียกชื่อได้หรืออ่านได้ถูก และเรียนรู้ที่อยู่ (ตำแหน่ง) ของตัวอักษร
ขั้นที่สาม เด็กแยกแยะการใช้ตัวอักษรตลอดจนระเบียบแบบแผนของตัวอักษรจะเริ่มอ่านหรือเขียนจากซ้ายไปขวาซึ่งเป็นพื้นฐานของพัฒนาการด้านการอ่านในเด็กปฐมวัย ในขณะเดียวกันเด็กเริ่มรู้จักรูปร่างและระบบของตัวอักษรมากขึ้น
ขั้นสุดท้าย ระบบของตัวอักษร คือเป้าหมายปลายทางสุดท้ายของการอ่าน
จากนั้นอาจารย์ก็ตรวจเรื่องงานวิจัยของแต่ละคนค่ะ ดีนะที่หาได้แล้วรู้สึกดีแต่ก็กลัวจะเรื่องซ้ำกับเพื่อนๆ
ลักษณะสำคัญและกิจกรรมทางภาษาแบบองค์รวม
อ่าน – เขียน
- เน้นความเข้าใจเนื้อเรื่องมากกว่าการท่องจำตัวหนังสือผ่านการฟังนิทาน เรื่องราวสนทนาโต้ตอบ คิดวิเคราะห์ร่วมกับครูหรือผู้ใหญ่
- การคาดคะเนโดยการเดาในขณะอ่าน เขียน และสะกด เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในการเรียนรู้ภาษาธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องอ่านหรือสะกดถูกต้องทั้งหมด
- มีหนังสือ วัสดุสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ให้เด็กเป็นผู้เลือก เพื่อได้รับประสบการณ์ทางภาษาอย่างหลากหลาย
- ครูแนะนำและสอนอ่านในกลุ่มที่ไม่ใหญ่มากโดยใช้หนังสือเล่มใหญ่ที่เห็นชัดเจนทั่วกัน
-ให้เด็กแบ่งกลุ่มเล็กๆผลัดกันอ่านด้วยการออกเสียงดัง ๆ
- ครูสอนการอ่านอย่างมีความหมายด้วยความสนุกสนานในกลุ่มย่อย สอนให้รู้จักวิธีการใช้หนังสือการเปิดหนังสืออย่างถูกต้อง
- เปิดโอกาสให้เด็กพูดคุย ซักถามจากประสบการณ์เดิมซึ่งครูสามารถประเมินความสามารถการอ่านของเด็กแต่ละคนไปด้วยพร้อมกัน
-ให้เด็กแต่ละคนมีโอกาสเลือกอ่านหนังสือที่ชอบและยืมไปนั่งอ่านเงียบ ๆ
-ให้เด็กได้เขียน ขีดเขี่ย วาดภาพ ถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์ ความประทับใจ อย่างอิสระ
- ครูตรวจสอบสภาพการเขียนของเด็กแต่ละคนโดยการให้เด็กเล่าสิ่งที่เขียนหรือวาดให้ครูฟัง โดยครูอาจแนะนำการเขียนที่ถูกต้อง เพื่อให้เด็กพัฒนาการเขียนได้ด้วยตัวเด็กเองทุกวันโดยไม่มุ่งแก้คำผิดหรือทำลายความอยากเขียนของเด็ก
ความเชื่อมโยงภาษาพูดกับภาษาเขียน
ภาษาพูดกับภาษาเขียนมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันโดย ความรู้เกี่ยวกับคำจะเพิ่มพูนมากขึ้นเมื่อเราพูด เล่า สนทนาโต้ตอบกัน
เราอ่านจากหนังสือประเภทต่าง ๆ อ่านจากป้ายในทุกหนทุกแห่งที่สนใจ จะทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวต่างๆไปพร้อมๆกันและช่วยให้เด็กมี ความรู้เพิ่มพูนขึ้น
ทักษะการสนทนาจะพัฒนามากขึ้น ด้วยการพูดคุยกับพ่อแม่ เพื่อน ครู ในสถานการณ์หรือเรื่องราวที่มีความสัมพันธ์กับตัวเด็ก เมื่อเด็กได้รับโอกาสในการแสดงออกโดยการพูด เด็กจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จากสิ่งที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง ซึ่งเด็กนำไปใช้เพื่อการสื่อสาร หรือแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาในการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรู้ความหมายในภาษาเขียน
ขั้นของพัฒนาการในการอ่าน ขั้นแรก คำแรกที่เด็กอ่านเป็นคำที่มีความหมายต่อชีวิตเด็ก เช่น ชื่อ ( คน,อาหาร,สิ่งที่อยู่รอบตัว )พัฒนาการในขั้นนี้ กู๊ดแมนเรียกว่าเป็น “รากเหง้าของการอ่าน เขียน”
ขั้นที่สอง ผู้เรียนจะผูกพันกับตัวอักษรเพิ่มขึ้น เรียกชื่อได้หรืออ่านได้ถูก และเรียนรู้ที่อยู่ (ตำแหน่ง) ของตัวอักษร
ขั้นที่สาม เด็กแยกแยะการใช้ตัวอักษรตลอดจนระเบียบแบบแผนของตัวอักษรจะเริ่มอ่านหรือเขียนจากซ้ายไปขวาซึ่งเป็นพื้นฐานของพัฒนาการด้านการอ่านในเด็กปฐมวัย ในขณะเดียวกันเด็กเริ่มรู้จักรูปร่างและระบบของตัวอักษรมากขึ้น
ขั้นสุดท้าย ระบบของตัวอักษร คือเป้าหมายปลายทางสุดท้ายของการอ่าน
จากนั้นอาจารย์ก็ตรวจเรื่องงานวิจัยของแต่ละคนค่ะ ดีนะที่หาได้แล้วรู้สึกดีแต่ก็กลัวจะเรื่องซ้ำกับเพื่อนๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
การเล่านิทาน
การเล่านิทานเรื่องเจี๊ยกน้อยเลิกเกเรให้แก่เด็กอนุบาล2 เด็กๆสนใจฟังกันมากค่ะ เด็กก็นั่งฟังนิทานอย่างตั้งใจ มีเด็กบางคนสงสัยก็จะซักถามอยู่ตลอดค่ะและพอถามคำถามอะไรเด็กก็ช่วยกันตอบแสดงความคิดเห็น ดิฉันรู้สึกดีใจมากที่เด็กสนใจฟังนิทานที่ตัวเองเล่า จากการเล่านิทานได้ให้คุณครูประเมินผลก็ต้องปรับปรุบเรื่องการพูดบอกชื่อผู้แต่งนิทานด้วยค่ะดิฉันจะนำสิ่งต้องปรับปรุงไปพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นต่อๆไปค่ะ